รวมพระเครื่องรูปหล่อลอยองค์ครูบาอาจารย์ที่มีพระธาตุเสด็จ

ผมชอบบูชาพระเครื่องที่มีพระธาตุเสด็จ ถ้าพบเจอแล้วต้องรีบขวนขวายบูชาครับเคยคิดไว้นานแล้วว่าจะนำมาลงเผยแพร่ไว้ เผื่อว่าถ้าเพื่อนๆคนที่มีพระธาตุเสด็จมาที่พระเครื่องก็จะได้นำมาลงไว้ให้เพื่อนๆได้ชมเพื่อเป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติกันต่อไปครับ

ผมขอลงองค์ล่าสุดคือพระปิดตามหาลาภ วัดหนองบัว จ.ตราด ปี 2553 ที่มีวัตถุขนาดเล็กสีน้ำเงินมาอยู่ที่ตัวหนังสือตรงฐานครับ

องค์นี้แปลกมาก เพราะปกติวัตถุธาตุที่เคยพบเจอมา ส่วนมากจะเป็นวัตถุก้อนเล็กๆมีทั้งเนื้อสีขาวขุ่นและเนื้อแก้วใส แต่องค์นี้เป็นวัตถุธาตุสีน้ำเงิน เป็นอะไรที่แปลกประหลาดใจมากครับ เคยนำรูปไปถามที่ เพจพระธาตุ เขาบล๊อกไม่ยอมให้ลงครับ

รูปนี้เป็นตอนที่บูชามาจากในเวบครับ



ผมก็ใส่กรอบสเตนเลสบูชาติดตัวอยู่ ก็มี ปสก.ครับ ด้านโชคลาภจริงๆ ผมก็เหน็บบูชาอยู่สักพักใหญ่แล้วก็วางไว้ที่หิ้งพระครับ จนมาน่าจะ สัก 2 เดือนที่ผ่านมา ก็นำมาใส่ตลับเงินใส่สร้อยแขวนบูชารวม พอมีเวลาว่างก็หยิบมาส่องดูครับ เห็นกรอบพลาสติกด้านหลังมีรอยรานแตกก็รู้สึกแปลกใจว่า เราไปกระแทกหล่นตอนไหนหว่า เพราะเท่าที่จำได้ จะระมัดระวังมากครับ พอส่องดูระเอียดก็เห็นมีวัถตุสีน้ำเงินมาติดที่ตัวอักษร จ. เหมือนกับพระธาตุที่เสด็จที่ผมแต่จะเป็นเหมือนก้อนหินเล็กเนื้อสีขาวขุ่นกับสีใสๆ แต่แปลกตรงว่าที่มาติดกับพระปิดตานี้ทำไมเป็นสีน้ำเงิน ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนครับ



รูปพลาสติกที่มีรอยแตกเป็นแนวยาว

 

พระขุนแผน หลวงปู่ฉอ้อน วัดแหลมหิน จ.ปราจีนบุรี

องค์นี้ได้มาก็มีวัตถุทรงกลมติดอยู่ที่ซอกพระกรมาตั้งแต่แรกน่าจะช่วงปี 2550ครับ องค์นี้ผมเคยให้ พอจ.ที่ผมเคยเล่าไว้ในกระทู้จับพลังพระเครื่องดู (ท่านเสียไปตั้งแต่เดือน ตุลาคม ปี 2558) ท่านบอกว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าโคตมะองค์ปัจจุบันครับ

 

เหรียญดวงโพธิญาน หลวงตาม้า พิมพ์ใหญ่ เนื้อทองเหลืองปิดทองครับ
เหรียญนี้เลี่ยมพลาสติกกันน้ำมาตั้งแต่เช่าบูชามา

องค์นี้อธิษฐานขอให้ท่านเสด็จมา เพราะมีคนที่บูชามาเล่าประสบการณ์กันมากว่ามีพระธาตุเสด็จ เราก็ใจเสียที่ไม่เห็นมีพระธาตุเสด็จมาเหมือนกับเขา ผมเลยอธิษฐานขอต่อหลวงปู่ดู่ท่านเมตตา หลังจากที่อธิษฐานน่าจะประมาณ ไม่เกิน 1-2 เดือน พอมาส่องดูเห็นมีแท่งแก้ว(ในวงกลม) มาติดอยู่ที่ยันต์

รูปถ่ายก่อนมีพระธาตุเสด็จ ผมก็ถ่ายไว้ครับ ว่าไม่มีอะไรติดมาตั้งแต่ตอนบูชารูปถ่ายหลังพระธาตุเสด็จไป ผมก็ถ่ายไว้ครับ ว่าพระธาตุท่านไปแล้วครับ ท่านคงมาสอนธรรม เรื่องไม่ให้ยึดติด



รูปขยายพระธาตุ

 

รูปหล่อท่านเจ้าคุณเกตุ วัดแม่นางปลื้ม อ.เมือง จ.อยุธยา (สร้างปี 2537)

องค์แรก เป็นของแม่ผม อยู่ที่บ้าน ผมหยิบมาส่องดูเห็นมีเม็ดๆ (พระธาตุ) ผมเลยเอามาบูชาเองที่บ้านผม ตอนแรกมีพระธาตุอยู่ น่าจะ ไม่เกิน 3 องค์อยู่ตามซอกตัวอักษรที่ฐาน ตอนหลังเสด็จมาเพิ่ม เป็นสิบกว่าองค์ ผมเลยตามหาบูชาองค์ที่ 2 คือองค์ในรูปนี้ครับ มีกล่องด้วย

จำได้ว่าตอนนั้นน่าจะช่วงปี 2549-50 หลังจากที่ผมเห็นองค์พระธาตุเสด็จมาที่รูปหล่อลอยองค์ ผมก็ตามไปกราบรูปเหมือนของท่านเจ้าคุณเกตุที่วัดแม่นางปลื้ม อยุธยา ไปถามหาพระสงฆ์ที่วัดท่านก็บอกให้ไปกราบในศาลาอะไรสักอย่าง อยู่ด้านหลัง น่าเสียดาย ไม่ได้นำรูปเหมือนท่านมาประดิษยฐานให้คนกราบไหว้ แต่ตอนนี้ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง

 

พระผงรุ่นฟ้าลั่น หลวงพ่อเกษม สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง (ผมเคยเล่าไปในพลังจิตหลายครั้งแล้วกับพระผงดวงโพธิญาณหลวงตาม้าด้วยครับ ถ้าใครอ่านแล้วซ้ำต้องขออภัย)

จุดเริ่มต้นคือพออ่านเรื่องราวปาฏิหาริย์ก็อยากได้มาบูชาบ้างครับ นึกได้ว่าป้าผมเคยไปทำบุญกราบหลวงพ่อเกษมตอนก่อนท่านสิ้นปี 2539 คิดว่าป้าผมน่าจะต้องมีพระของหลวงพ่อเกษมอยู่บ้าง และก็ไม่ผิดหวังครับ ป้าผมมีพระผงฟ้าลั่น แต่เป็นพระทำบุญผ้าป่ากฐินของวัดพลับพลา อ.เมือง จ.นนทบุรี เพราะบ้านป้าอยู่ไม่ไกล แต่พระผงแตกช่วงบนผ่านตรงศรีษระหลวงพ่อเกษมนิดๆ

ผมเลยขอป้ามาเอากาวแปะ แล้วใส่กรอบสเตนเลส แขวนคู่กับเหรียญเศรษฐีหลวงปู่ดู่ ตอนนั้นประมาณปี 2549 แต่ใส่ได้ไม่นานก็ถอดใส่ตู้หน้าโต๊ะหมู่ น่าจะวางไว้ในตู้เป็นเดือน จนมีวันนึงหยิบพระมาดู ก็เห็นมีวัตถุก้อนเล็กประมาณถั่วเขียว ติดอยู่ที่ผิวพระผง ตอนนั้นยังนึกไปว่า สงสัยจิ้งจกมาขี้ใส่ แต่ก็นึกขึ้นว่าพระใส่กรอบสเตนเลส จิ้งจกที่ไหนมันจะเข้าไปขี้ นึกแล้วยังขำในความไม่ฉลาดของตัวเองครับ

ผมก็นั่งส่องดูไปสงสัยไปจนนึกถึงว่าเราเคยฝันไปก่อนหน้านี้ว่ามีอยู่วันนึง ผมฝันว่าหลวงพ่อเกษมท่านอยู่ในท่านั่งสมาธิ ท่านเหาะมาจากฟ้า ลอยผ่านประตูห้องนอนชั้นบนเข้ามาในห้องนอนผม ผมตกใจรีบลุกขึ้นเอาผ้าปัดพื้นพร้อมกับเรียนท่านว่า พื่้นสกปรกมีฉี่ลูกๆ แต่ท่านก็ลอยมานั่งบนพื้นห้องนอน ผมก็ตกใจตื่นขึ้น

และก็ยังนึกออกว่า ก่อนที่จะฝันได้ยกมือขึ้นจบอธิษฐานขอพระธาตุจากองค์หลวงพ่อเกษมครับ
อ้อ !!! ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไปจริงๆครับ

 

กาลเวลาผ่านไป พระธาตุหลวงพ่อเกษมท่านก็หลุดจากองค์พระด้วยแรงโน้มถ่วง ผมเลยนำใส่ไว้ในผอบเดียวกับพระธาตุของหลวงปู่ดู่ ที่ได้มาจากคุณ ศุภรัตน์ ลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่ ตอนนั้นแกให้ทำบุญบูชาหนังสือ และก็มอบพระธาตุของหลวงปุ่ให้มาบูชากัน

 

พระรูปหล่อหลวงปู่เรือง อาภัสสะโร (พระธาตุเสด็จ)
หลวงปู่เรืองท่านเป็นเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมเขาสามยอด หลังโรงพยาบาลอานันทมหิดล ต.เขาสามยอด อ.เมือง จ.ลพบุรี อายุย่างเข้า 101 ปี

 

ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ เป็นบุญตาจริงๆครับ

ขอกราบหลวงปู่เรืองด้วยเศียรเกล้าครับ ท่านเป็นพระเถระ ทั้งคำสอนทั้งปาฎิหาริย์ขององค์ท่านสุดยอด สาธุ สาธุ องค์นี้เข้มขลังมากครับ

พอจ.ที่ผมนับถือท่านเคยบอกไว้ตอนที่ให้ท่านช่วยดูพระเครื่องที่มีวัตถุธาตุ ท่านบอกว่า พระองค์นั้น ๆท่านสำเร็จเป็นพระอริยเจ้าครับ ผมก็ไม่ได้ถามว่าแต่ละองค์จะสำเร็จขั้นไหน แค่รู้ว่าท่านสำเร็จเป็นพระอริยเจ้าก็เป็นบุญวาสนามากแล้วครับ

 

พระบรมสารีริกธาตุ ที่วัดไผ่เหลือง จ.นนทบุรี ได้มอบให้สาธุชนนำมากราบไหว้บูชา

ช่วงเวลาประมาณปี 2538-40 จำปีที่แน่นอนไม่ได้ แม่ผมไปเข้าคิวรับพระบรมสารีริกธาตุมาจากวัด ตอนนั้นหลวงพ่อสิงห์ยังอยู่ เพื่อนผมที่ไปด้วยกันก็ซื้อผอบไปใส่ แล้วก็ให้แม่ผมมาทั้งผอบ นำมาบูชาที่บ้าน ช่วงนั้นผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพระธาตุของ อาจารย์ทองดี ที่ลงวิธีดูพระธาตุ ผมก็ลองทำตาม อัญเชิญพระบรมธาตุ ลอยน้ำ ตอนแรก พระบรมธาตุจะจมลงทั้งหมด แล้วก็ลอยขึ้นมาอยู่บนผิวน้ำ

แต่ 5 องค์ในรูปนั้นไม่ลอย ยังจมอยู่ข้างใต้ ผมเลยแยกเก็บไว้ รอถามพอจ. ตอนท่านลงมากรุงเทพฯ พอท่านมาผมก็ขอให้ท่านช่วยดูให้ ท่านบอกว่าใช่ เป็นพระบรมสารีริกธาตุขององค์ปัจจุบัน ผมก็เลยได้ความรู้ใหม่ ว่า การดูด้วยวิธีอัญเชิญในน้ำก็ไม่ใช่วิธีที่จะดูพระบรมสารีริกธาตุได้ แบบ 100 % ดีที่ผมไม่เอาโยนทิ้ง ไม่งั้นเป็นบาปกรรมติดตัวไป




จากรูปทางขวามือ ถ่ายไว้หลังจากแบ่งจากแม่มาเก็บไว้บูชาที่บ้านนานเป็น 10 กว่าปี ส่วนรูปทางซ้ายมือ เป็นรูปถ่ายตอนที่ผมเปิดผอบ เพื่อจะนำจะนำไปบรรจุในองค์พระพุทธรูปขนาด หน้าตัก 20 นิ้ว ที่นำไปถวายวัดในงานทำบุญวันคล้ายวันเกิดแม่ตอนปี 2561 พอเปิดผอบเห็นก็รู้สึกตกใจว่า ทำไมพระสารีริกธาตุท่านเปลี่ยนแปลงไปมากครับ ดีที่ถ่ายรูปไว้ตั้งแต่ตอนแรก

 

พระครูวิทิตพัชราจารย์ วัดหนองยางทอย ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์



“หลวงพ่อประเทือง อติกกันโต” หรือ “พระครูวิทิตพัชราจารย์” อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองยางทอย ต.หนองยางทอย อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ เป็นพระเกจิรูปหนึ่งที่ชาวเมืองเพชรบูรณ์ให้ความเลื่อมใสศรัทธา เป็นพระเถระที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม จัดสร้างวัตถุมงคลที่มีความเข้มขลัง เป็นที่แสวงหาของบรรดาเซียนพระทั่วไป

อัตโนประวัติ เกิดในสกุล ยืนยง เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2471 ที่บ้านคลองเม่า หมู่ที่ 5 ต.โคนสะลุด อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี บิดา-มารดาชื่อ นายทำ และนางมาก ยืนยง เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 9 คน

จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดคลองเม่า

เมื่อปี 2485 อำเภอท่าวุ้งประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ ข้าวในนาถูกน้ำท่วมได้รับความเสียหายหนัก ได้อพยพครอบครัวมาอยู่ที่บ้านหนองแขม ต.ทุ่งทะเล อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ประกอบอาชีพทำไร่ทำนา

ต่อมา บิดา-มารดาปรารภที่จะให้บุตรชายได้บรรพชา เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม จึงนำท่านให้อยู่ในความอุปการะของพระอาจารย์อ่อน ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา

สำหรับพระอาจารย์อ่อน ถือว่าเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย เชี่ยวชาญด้านวิทยาคมและวิปัสสนากัมมัฏฐาน พระอาจารย์อ่อนจึงได้จัดพิธีบรรพชาเด็กชายประเทือง เป็นสามเณรประเทืองสมความปรารถนา

หลังได้บรรพชา สามเณรประเทืองได้ศึกษาพระธรรมวินัยจากพระอาจารย์อ่อน ด้วยความขยันหมั่นเพียรและรับการถ่ายทอดวิชาวิทยาคม วิปัสสนากัมมัฏฐาน

เมื่ออายุครบบวช พระอาจารย์อ่อนได้นำสามเณรประเทืองประกอบพิธีอุปสมบท ที่วัดช่องแค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ โดยมีพระครูทอง วิสาโร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์แป้ง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระใบฎีกาตี่ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

แต่ภายหลังอุปสมบทได้ไม่นาน ท่านจำต้องลาสิกขา เพื่อเข้ารับราชการทหารรับใช้ชาติ กระทั่งพ้นเกณฑ์ ได้ออกมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนาระยะหนึ่ง จนเกิดความเบื่อหน่าย และได้เข้าพิธีอุปสมบทอีกครั้งเมื่ออายุ 29 ปี ซึ่งเป็นปีของการเฉลิมฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ที่พัทธสีมาวัดโพนทอง อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ได้รับฉายาว่า อติกกันโต

หลังอุปสมบท ออกเดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ และได้พบกับพระป่าสายปฏิบัติหลายรูป พร้อมกับศึกษาวิทยาคมไสยเวทกับบรรดาพระอาจารย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค หลวงพ่อเล็ก วัดโพธิ์ทอง อาจารย์บุญลือ ชาวเขมร ว่ากันว่าช่วงนั้นท่านได้ออกวัตถุมงคลหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นตะกรุด เหรียญ ปรากฏวัตถุมงคลของท่านได้รับความศรัทธาจากประชาชนเป็นอย่างมาก

ต่อมา ได้เดินธุดงค์ผ่านมาทางบ้านหนองยางทอย ชาวบ้านในพื้นที่ได้เลื่อมใสในวัตรปฏิบัติของท่านยิ่งนัก จึงได้พากันนิมนต์ให้ ท่านอยู่จำพรรษาและสร้างวัดหนองยางทอยขึ้น สร้างศาลาการเปรียญ กุฏิ อุโบสถ และถาวรวัตถุอื่นๆ จำนวนมาก ส่วนหลวงพ่อประเทืองได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูวิทิต พัชราจารย์ และวัดหนองยางทอย ได้เปลี่ยนเป็นวัดเทพประทานพร

ช่วงที่จำพรรษาที่วัดหนองยางทอย สร้างวัตถุมงคลเพื่อระดมปัจจัย สร้างเสนาสนะ ถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนา วัตถุมงคลของท่านได้แก่ รูปเหมือนพุทธกวัก เหรียญกลม ทบ.1 ตะกรุด 9 ชั้น พระกริ่งชินบัญชร เป็นต้น

หลวงพ่อประเทือง หรือพระครูวิทิตพัชราจารย์ สร้างคุณประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาอย่างมากมาย นอกจากนี้ ยังรับอุปการะโรงเรียนบ้านหนองยางทอยไว้ในความอนุเคราะห์ สร้างอาคารห้องสมุด อาคารอเนกประสงค์ให้แก่โรงเรียนหลายหลัง และมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กที่ยากจนได้ศึกษาเล่าเรียน

เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2550 หลวงพ่อประเทืองได้มรณภาพอย่างสงบ สร้างความเศร้าสลดให้แก่ชาว อ.ศรีเทพ และบรรดาลูกศิษย์ลูกหาเป็นอย่างมาก

ข้อมูลจากเพจข่าวสด คอลัมน์ อริยะโลกที่ 6

 

องค์นี้ผมฟังจากยูทูปมา ว่า เขาทรายกับเขาค้อ แกแล๊คซี่ พี่น้องฝาแฝดแชมป์โลกมวยสากลคือเขาทรายกับเขาค้อ แกแล๊คซี่ พี่น้องฝาแฝดแชมป์โลกมวยสากล ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน

 

พ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ จ.นครศรีธรรมราช
พระพิฆเนศวร ลอยองค์รุ่น 1
ครบ 95 ปี ว.ค.พระนคร 12 ตุลาคม 2530


พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ วัดทุ่งเฟื้อ ตามประวัติ หลวงพ่อจันทร์ ท่านเป็นผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า เครื่องราง ควายธนู พ่อท่านจันทร์ ถือเป็นควายธนูหนึ่งเดียวของเมืองใต้ ด้วยเอกลักษณ์และรูปแบบโดยเฉพาะ ประวัติพระเกจิอาจารย์ชื่อดังเมืองใต้

ประวัติหลวงพ่อจันทร์ สุเมโธ วัดทุ่งเฟื้อ เกิดวันพฤหัสบดี ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2453 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน6ปีชวด ณ บ้านหลาแก้ว อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช บิดาชื่อนายเขียว มารดาชื่อนางพุดแก้ว นามสกุล ทองแก้ว หลวงพ่อจันทร์ ท่านเป็นบุตรชายคนโต มีพี่น้อง4คน มีอาชีพทำสวนทำไร่ ตอนเยาว์วัยได้ศึกษาในสำนักของ พระครูสังฆรักษ์ วัดหลาแก้ว ได้ศึกษาอักขระสมัยและวิชาอาคมต่างๆ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นก็ศึกษาพุทธาเวทจากตำราต่างๆ มีวิชาอาคมพอตัวเลยทีเดียว นักเลงหัวไม้ต่างกลัวท่าน เนื่องจากท่านหนังเหนียวยิ่งนัก เมื่ออายุครบ 20ปี ก็ได้อุปสมบทที่วัดศาลาแก้ว มีพระครูพนังศรีวิสุทธิพุทธิภักดี เป็นพระอุปัชฌาย์ อาจารย์เห้ง วัดศาลามีแก้ว เป็นพระกรรมาวาจารย์ หลวงพ่อจันทร์ ได้ฉายาว่า "สุเมโธ"

กขระปรากฏแก่ พ่อท่านจันทร์ คราวหนึ่ง พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ ท่านเดินทางธุดงค์อยู่ในป่าช้าจังหวัดพัทลุงขณะที่ท่านเข้าพักแขวนกลดไว้กับกิ่งไม้ในป่าช้าวัดแห่งหนึ่งบริเวณใกล้ริมคลองป่าเรียบร้อยแล้ว “หลวงพ่อจันทร์”ท่านก็เดินจงกลมคลายความเหน็ดเหนื่อยพอสมควรแล้ว ท่านก็นั่งสมาธิภาวนาในกลด เพราะเป็นช่วงพลบค่ำพอดี

ความอัศจรรย์เกิดขึ้นแก่จิต ขณะที่นั่งสมาธิจนจิตค่อยสงบลงแล้วสติสัมปชัญญะสมบูรณ์แจ่มใสมาก “หลวงพ่อจันทร์”ท่านได้เล่าให้บรรดาศิษย์ฟังภายหลังว่าจิตสงบดีแล้วเหตุการณ์การอันอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น ทำให้เห็นอักขระแบบภาษาขอมลอยขึ้นเด่นชัด จากริมแม่น้ำลำป่า ไปอยู่ในท่ามกลางอากาศก็ได้กำหนดอักขระเหล่านั้นมาพิจารณา แล้วทำอุบายเพ่งเป็นกสิณ โดยอาศัยอักขระโบราณที่ปรากฏมาเป็นนิมิตรหมายแห่งการบำเพ็ญเพ่งเป็นองค์กสิณยิ่งนานวัน ความสงบยิ่งแนบแน่นตามลำดับ

พยัคฆามาเยี่ยม เมื่อความมืดมาปกคลุมไปทั่วลุ่มน้ำลำป่า จังหวัดพัทลุง บริเวณภายนอกกลดอากาศเย็นเป็นพิเศษ ขณะ"พ่อท่านจันทร์"และหมู่คณะของท่านนั่งกำหนดจิตอยู่ ทันใดนั้นความเงียบก็ถูกทำลายด้วยอำนาจเสือโคร่งตัวโต เสียงร้องของมันขู่ข่มขวัญ ทุกคนที่ได้ยิน มันเดินไปวนมาข้างๆกลดเพราะได้กลิ่นมนุษย์ พระธุดงค์ดังกล่าวได้ปฏิบัติตามคำเตือนให้อยู่ในความสงบ นั่งปฏิบัติกันโดยปกติ เสือเหมือนมาทดสอบจิตใจเมื่อพระธุดงค์ทุดท่านมีมานะอดทนที่แน่วแน่ พร้อมทั้งแผ่เมตตาไปยังเสือตัวนั้นในที่สุดเสือโคร่งก็สิ้นความพยายามผละหายกลับไปในป่าลึก


หลวงพ่อจันทร์ พบดินแดนสงบ จากการเดินธุดงค์ไปทั่วทั้ง 14จังหวัดภาคใต้ ต่อมาในปี พ.ศ.2491 พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ ท่านได้จำพรรษาที่ วัดทุ่งเฟื้อ เพราะเล็งเห็นว่าเหมาะแก่การเจริญวิปัสสนาสมาธิเป็นอย่างยิ่ง จากอดีต วัดทุ่งเฟื้อ ที่เคยมีสภาพทรุดโทรม ก็ได้รับการพัฒนาเปิดป่า เปลี่ยนเป็นศาลาโรงธรรม หอระฆัง พระอุโบสถและกุฏิสงฆ์ขึ้นมาตามลำดับ ต่อมา พ่อท่านจันทร์ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดทุ่งเฟื้อ อย่างสมบูรณ์ พระสงฆ์ต่างจังหวัดและชาวบ้านต่างมาฝากตัวเป็นศิษย์ท่านเป็นจำนวนมาก เพื่อศึกษาตำราพิชัยสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องวิชาคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด มหาอุด แต่งคนเลิศดีนักแลฯ ถือเป็นวิชาสุดยอดทั้งนั้นและ หลวงพ่อจันทร์ ก็เคยเดินทางไปศึกษาวิชากับ อาจารย์เอียดดำ วัดในเขียว อีกด้วย




ข้อมูลจากคุณศิวเวทย์ (๏..ตรังนิสิงเห...๚ะ๛)




พุทธคุณพระเครื่อง “พ่อท่านจันทร์”
ในเรื่องอิทธิมงคลวัตถุของพ่อท่านจันทร์ นั้นมีอานุภาพดีเด่นในทางพุทธคุณสูง อานุภาพสูงส่งจากประสบการณ์ผู้นำติดตัวไปใช้ก็มีมากมาย จึงเป็นที่หวงแหนของผู้ที่ครอบครองไว้ สำหรับความรู้สึกของศิษยานุศิษย์ที่ได้เรียนวิชาคงกระพัน วิชาชาตรี วิชาแคล้วคลาด วิชามหาอุด วิชาแต่งคน และรับมอบอิทธิวัตถุมงคลของหลวงพ่อจันทร์ พูดได้ว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว



หลวงพ่อจันทร์ มรณภาพตามกำหนด
กฎแห่งไตรลักษณ์มีอย่างไรความจริงก็ย่อมปรากฏเช่นนั้น หลวงพ่อจันทร์ ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติจนเกิดฌานจนแก่กล้า สามารถรู้เหตุการณ์ต่างๆแม้แต่วันตาย ดังบันทึกของคณะศิษย์วัดทุ่งเฟื้อ ทุกๆสาย คืนวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2532 ท่านเข้าสมาธิภาวนาตั้งแต่หัวค่ำด้วยอิริยาบถอันสงบ แม้อาการป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอดท่านก็ไม่ ทอดธุระเรื่องภาวนา ตลอดคืนจนได้เวลา 05.00น. อันเป็น เวลาใกล้สว่าง หลวงพ่อจันทร์ ท่านได้ให้บรรดาศิษย์ช่วยกันพยุงกายท่านให้ลุกขึ้น เพราะท่านนั่งสมาธิมาตั้งแต่หัวค่ำ เรี่ยวแรงก็น้อยลง เมื่อพระสมุห์พิงค์ ขึ้นแล้ว ท่านได้เปลี่ยน สบง จีวร สังฆาฏิ ใหม่หมดเสร็จแล้วท่านได้บอกให้ลูกศิษย์ประคองให้นั่งลงทำสมาธิต่อไปหลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว หลวงพ่อจันทร์ท่านก็หลับตาลง และได้สั่งให้พระสมุห์พิงค์ ผู้เป็นศิษย์จุดเทียนไว้เบื้องหน้าหนึ่งเล่ม พร้อมทั้งไม่ให้ใครมาส่งเสียงบริเวณนั้นจะทำสมาธิครั้งสุดท้ายหลังจากกล่าวแก่ศิษย์ทุกคนแล้ว หลวงพ่อจันทร์ ท่านก็หลับตาลงเป็นครั้งสุดท้ายกำหนดจิตเข้าสู่สมาธิ เป็นลำดับเวลา 08.30น.บรรดาลูกศิษย์ ที่เฝ้าดูอาการของ พ่อท่านจันทร์ เห็นผิดสังเกต เพราะศีรษะของท่านโน้นเอียงลงมาเล็กน้อย ซึ่งปกติท่านจะนั่งตัวตรงไม่ไหวติง ศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดท่านย่อมรู้ดี จึงทราบว่า พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ วัดทุ่งเฟื้อ ท่านได้มรณภาพแล้ว วันที่ 10 พฤศจิกายน 2532

 

รูปหล่อลอยองค์ พระครูอุดมโชติวัฒน์ (หลวงพ่ออรรถ)
วัดองครักษ์ อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี

นามเดิม อรรถ ละออออง ชะตาเมื่อ พ.ศ. 2448 ณ อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี

โยมบิดาชื่อ หวาด โยมมารดาชื่อ แหน สกุลลออออง วัยหนุ่มช่วยครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรม อุปสมบทเมื่อ พ.ศ. 2469 จำพรรษาอยู่วัดองครักษ์ พัฒนาวัดมาตลอด มาจวบตน พ.ศ. 2489 จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดองครักษ์ พ.ศ. 2493 เป็นเจ้าคณะตำบลไผ่กองดิน พ.ศ. 2495 ได้รับสมณศักดิ์ พระครูอุดมโชติวัฒน์ และ พ.ศ. 2498 จึงได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์

ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย เป็นพระนักพัฒนา ส่งเสริมการศึกษา สมถะ เป็นที่กล่าวขานว่ามีวาจาสิทธิ์ยิ่งนัก

ท่านมรณภาพเมื่อ พ.ศ. 2537 สิริอายุ 89 ปี 68 พรรษา ปัจจุบันสังขารของท่านไม่เน่า ไม่เปื่อย ยังคงอยู่ในโลงแก้วที่วัด เพื่อให้ผู้คนได้สักการะอยู่เสมอเสมือนท่านยังมีชีวิตอยู่ วัตถุมงคล เหรียญรุ่นแรก (เหรียญพระเจ้า 5 พระองค์) สร้าง พ.ศ. 2513

 

พระสมเด็จเบญจรงค์ กรุวัดพระแก้ว กทม.

องค์นี้พ่อผมได้มาจากเพื่อนที่เป็นตำรวจ พ่อผมให้ผมมาบูชา ผมเลยนำไปเลี่ยมพลาสติกกันน้ำ ตอนแรกเลี่ยมปิด พอไปอ่านเรื่องการเลี่ยมแบบเปิด ผมเลยใช้มีดคัตเตอร์เผาไฟแล้วค่อยกรีดพลาสติกออก จนเปิดหน้าสำเร็จครับ ( ถ้าย้อนเวลากลับไปจะไม่ทำ เพราะดีที่พระไม่โดนใบมีด)

แขวนบ้างไม่แขวนบ้าง สวดมนต์คาถาชินบัญชรบ้างแต่ไม่ได้สวดประจำ จนมาได้มาส่องดู เห็นมีเส้นเกศากับเส้นใยสีขาวสั้นๆ (ไม่ทราบว่าคืออะไรมาอยู่ที่พระ)

ตอนแรกคิดว่า เส้นเกศาเป็นเส้นผมของผมเอง ที่อาจหลุดเข้าไป เลยลองพยายามเอาผมลองยัดเข้าไป แต่ไม่เข้า ก็ยังมีความสงสัยอยู่ดีว่า เป็นเส้นผมจากที่ไหน จนมาส่องดูด้านหลัง เห็นมีเส้นใยเกาะเป็นกระจุก แต่เห็นมีเส้นผมอยู่ 1 เส้นอยู่ด้วย ตอนนี้ทำให้คิดได้ว่า เส้นเกศาที่มาที่พระน่าจะเป็นของดี เพราะด้านหลังองค์พระนั้นเลี่ยมแบบปิดตายไว้ไม่มีทางที่เส้นผมของผมจะหล่นเข้าไปได้