ครั้งหนึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า มนุษย์เกิดจากสสารที่มารวมตัวกันพอเหมาะอย่างบังเอิญ จนกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิต ความรู้สึกนึกคิดและจิตวิญญาณก็คือการทำงานของสมอง ทุกคนเกิดหนเดียว ตายหนเดียว เรื่องภพชาติเป็นเรื่องไร้สาระ จนโลกเข้าสู่ยุคควอนตัม สมมติฐานก็กลับด้าน นักฟิสิกส์สายนิวตันเชื่อว่า จิตเกิดจากสสาร แต่ นักวิทยาศาสตร์สายควอนตัม บอกว่า สสารเกิดจากจิต ซึ่งการค้นพบใหม่ๆทางควอนตัม ทำให้แนวโน้มความจริงเป็นเช่นนั้น ศาสตราจารย์ฮานส์ ปีเตอร์ เดอร์ ( Hans-Peter Durr ) นักฟิสิกส์อนุภาคที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งศตวรรษที่ยี่สิบ ยืนยันว่า ความคิด ความรู้สึกของมนุษย์ ล้วนถูกอัพโหลดสู่สนามควอนตัมทางจิตวิญญาณในเวลาเดียวกับที่เราคิดหรือรู้สึก ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะยังคงอยู่หลังจากที่เราเสียชีวิต (P.M. Magazin 05/2007) เขาบอกว่าสมองเปรียบเสมือนแผ่นดิสก์ที่บันทึกข้อมูลไว้ชั่วคราว ก่อนส่งต่อไปที่ฐานข้อมูลรวมของจิตจักรวาล ดร.โรเบิร์ต แลนซา (Robert Lanza) ผู้เชี่ยวชาญด้านการโคลนนิ่ง และได้รับการยกย่องจากนิตยสาร TIME ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลต่อโลกสูงสุด100 คนแรกแห่งปี 2014 บอกว่า ทฤษฎีควอมตัมสามารถพิสูจน์เรื่องการมีอยู่ของชีวิตหลังความตาย จักรวาลไม่ได้สร้างมนุษย์ แต่มนุษย์เป็นผู้สร้างจักรวาลจากประสาทสัมผัส เมื่อเสียชีวิตลง ก็จะไปสู่จักรวาลใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม สถานที่และเวลา (space-time) เป็นเพียงภาพลวงตาที่จะหายไปทันทีที่เสียชีวิต แม้ศาสตร์ทางด้านควอนตัม เป็นการค้นพบความจริงในระดับที่ตื้นมากๆ เมื่อเทียบกับความจริงของจักรวาลทั้งหมด แต่ก็ช่วยยืนยันได้ว่า สิ่งมีชีวิตหลังจากตายไป ยังมีข้อมูลบางอย่างคงอยู่ ถึงไม่ชี้ชัดเท่าพุทธศาสนาที่สรุปให้ว่า ข้อมูลนั้นมี 52 ชนิด (เจตสิก 52 ) แต่ก็ทำให้เรามั่นใจได้ว่า ข้อมูลต่างๆหรือที่ทางพุทธเรียกว่า สัญญา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่สูญหาย มันถูกเก็บไว้ในอีกมิติหนึ่ง และพร้อมที่จะแสดงผลเมื่อได้เกิดใหม่อีกครั้ง ที่มา....... facebook/doctorsom
เรื่องทางวิทยาศาสตร์มันเลอะเทอะถ้าพยายามจะเอาไปค้นหาความจริงของธรรมชาติ วิทยาศาสตร์มันมีขอบเขตของมัน ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ ถ้าเชื่อนักวิทยาศาสตร์ก็เท่ากับว่าเรายอมเชื่อคนธรรมดาที่ยังมีกิเลส เผลอๆคนๆนั้นอาจมีกิเลสหนากว่าเราซะอีก แต่เราดูถูกตัวเองจนไปเชื่อเขา ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าก็เท่ากับว่าเราเชื่อคนที่หมดกิเลสแล้วและได้ตรัสรู้ถึงทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ ตายแล้วสูญหรือไม่ จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องอจินไตยประการหนึ่ง ในศาสนาพุทธไม่แนะนำให้คิดหมกมุ่นอยู่กับมันมากเกินไปเพราะอาจทำให้กลายเป็นบ้า แล้วมันก็ไม่ใช่วิธีการบำเพ็ญบุญบารมีเพื่อความสำเร็จในทางโลกและทางธรรม ดังนั้นเราจึงไม่ควรเสียเวลาในเรื่องนี้กันมากเกินไป