ผลสำรวจที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ระบุว่า โอโซนบริเวณขั้วโลกใต้หรือใจกลางทวีปแอนตาร์คติกาลดลงในปริมาณมากและเป็นบริเวณกว้าง โดยการลดลงของโอโซนบริเวณดังกล่าวเริ่มมาตั้งแต่ช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 70 แต่การลดลงอย่างรวดเร็วเริ่มต้นขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 80 นายโรเบิร์ท พอร์ทแมน หนึ่งในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ขององค์การบริหารด้านมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐ (เอ็นโอเอเอ) ซึ่งเป็นผู้ศึกษาเรื่องดังกล่าว เปิดเผยว่า พบการขาดหายไปของโอโซนในชั้นบรรยากาศจากตัวอย่างของอากาศบริเวณขั้วโลกใต้ที่เก็บมาศึกษาทดลองตั้งแต่หลังปี พ.ศ.2523 เป็นต้นมา ในขณะที่การสูญเสียโอโซนในชั้นบรรยากาศบริเวณทวีปอาร์คติกหรือแถบขั้วโลกเหนือนั้นเกิดขึ้นเป็นพักๆ และในปริมาณที่ไม่มากแม้กระทั่งช่วงที่พบว่ามีการลดลงของโอโซนในชั้นบรรยากาศบริเวณดังกล่าวมากที่สุดก็ยังไม่เท่ากับอัตราการสูญเสียโอโซนตามปกติในบริเวณขั้วโลกใต้ นักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่องเกี่ยวกับการลดลงของโอโซนบริเวณชั้นบรรยากาศเหนือทวีปแอนตาร์คติกามาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว โดยเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ระบุว่า ช่องโหว่ของโอโซนในชั้นบรรยากาศบริเวณทวีปแอนตาร์คติกาที่พบนั้นมีเนื้อที่ถึง 11 ล้านตารางไมล์ (28,489,870 ตารางกิโลเมตร) ทั้งนี้อัตราการลดลงของโอโซนในชั้นบรรยากาศบริเวณทวีปแอนตาร์คติกานั้นสูงถึง 90% และอาจจะเพิ่มขึ้นถึง 99% ในช่วงหน้าหนาว ในขณะที่บริเวณทวีปอาร์คติกนั้นอัตราการลดลงของโอโซนนั้นสูงสุดอยู่ที่ 70% แต่โดยปกติแม้ในช่วงอากาศหนาวก็จะพบว่ามีอัตราการลดลงของโอโซนเพียง 50% เท่านั้น (เอเอฟพี) http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01for06271249&day=2006/12/27
เมื่อ 10ปีก่อนครีมซันบล็อค Spf 20 ก็กันได้สุดๆแล้ว เดี๋ยวนี้ ต้องใช้ค่า SPF 50 แล้วครับถึงจะเอาอยู่ ดังนั้นแนวโน้มในการเกิดมะเร็งผิวหนัง และต้อ จอประสาทตาเสื่อม จะสูงขึ้นเรื่อยๆครับ
ชั้น"โอโซน"ขั้วโลกใต้ เสียหายมากกว่าขั้วโลกเหนือ ชี้ "ขั้วโลกเหนือ" และ "ขั้วโลกใต้" สูญเสียชั้นโอโซนแตกต่างกันในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยพบว่าชั้นโอโซนที่ขั้วโลกใต้เป็นรูโหว่มากกว่าขั้วโลกเหนือ สำนักงานสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติ สหรัฐ (โนอา) ศึกษาพบว่า ใจกลางชั้นโอโซนที่ขั้วโลกใต้เป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่และแผ่วงกว้าง เริ่มมาตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1970 แต่เห็นได้ชัดในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 และ 1990 เพราะในตัวอย่างอากาศที่เก็บมาหลังปี 2523 บางตัวอย่างแทบไม่พบโอโซนเลยเมื่อเทียบกับหลายสิบปีก่อน ส่วนที่ขั้วโลกเหนือนั้นพบช่องโหว่ชั้นโอโซนกระจัดกระจาย แต่ช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดก็ไม่ใหญ่เท่าช่องที่พบทั่วไปที่ขั้วโลกใต้ ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนต.ค. สำนักงานอวกาศแห่งชาติสหรัฐ (นาซ่า) เคยรายงานว่า ช่องโหว่โอโซนที่พบในปีนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา โดยกินพื้นที่เกือบ 17.6 ล้านตารางกิโลเมตร ผลการศึกษาของโนอาระบุว่า พื้นที่ขั้วโลกใต้บางจุด โอโซนหายไปถึงร้อยละ 90 และมักหายไปเกือบหมดในช่วงฤดูหนาวนับตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา เทียบกับเมื่อหลายสิบปีก่อน ส่วนที่ขั้วโลกเหนือ โอโซนเคยหายไปสูงสุดร้อยละ 70 และหายไปร้อยละ 50 ในช่วงกลางคริสตทศวรรษหลังปี 1990 ซึ่งเป็นช่วงที่อุณหภูมิลดลงอย่างผิดปกติ แต่ระดับปัญหาที่ขั้วโลกเหนือถือว่ารุนแรงน้อยกว่าขั้วโลกใต้ ทั้งนี้ โอโซนทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้รังสีที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์ตกมาถึงโลกมากเกินไป http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03tec01291249&day=2006/12/29
เคยได้ไปถามพระท่านดูเกี่ยวกับว่าทำไม โอโซนที่ขั้วโลกใต้จึงหายมากกว่าที่ขั้วโลกเหนือ พระท่านบอกว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับ แม่เหล็กไฟฟ้าของโลก ที่ทำปฏิกิริยา กับตัว ประจุของโอโซน ที่ประกอบไปด้วย อออกซิเจน สามโมเลกุล นั่นเอง ส่วนหนทางแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศจากปรากฏการโลกร้อนเนื่องจาก ชั้นโอโซนรั่ว พระท่านให้ใช้วิธี รีเวอร์ส เอ็นจิเนียริ่งของธรรมชาติ โดยให้ดูจากสมัยที่โลกเย็นลงใหม่ๆ ไม่มีชั้นบรรยากาศและสิ่งมีชีวิต และสิ่งมีชีวิตชนิดแรก ก็คือสาหร่ายเซลล์เดียว ที่ขยายพันธุ์ โดยการแบ่งตัวจาก หนึ่งเป็นสอง สองเป็น สี่ ในอัตราการยกกำลัง สาหร่ายเหล่านี้ดูดซึม คาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซพิษพวกซัลเฟอร์ต่างๆจากบรรยากาศ มาสังเคราะห์แสง ได้ก๊าซออกซิเจนออกมา และรวมตัวกันเป้นกลุ่มก๊าซโอโซน ของชั้นบรรยากาศในที่สุด พระท่านให้ใช้สาหร่ายเกลียวทองโปรยไปยังท้องมหาสมุทรตามแนวการไหลของกระแสน้ำอุ่นในทะเลเขตร้อน จากนั้นให้กลไกธรรมชาติ เยียวยาตัวมันเอง จากการที่สาหร่ายเหล่านี้ -ดูดซับพลังงานความร้อนในทะเลทำให้อุณหภูมิลดลง -รงควัตถุของสาหร่าย เป็นตัวกรองแสงและรังสีความร้อนไม่ให้สะท้อนกลับขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ -การแบ่งตัวที่เร็ว ในอัตรายกกำลังจึงจะทันกับการทำลายโอโซนของก๊าซเรือนกระจกที่ทำลายโอโซนด้วยปฏิกิริยาลูกโซ่ -สาหร่ายเป็นอาหารของสัตว์ทะเลขนาดเล็ก ทำให้ห่วงโซ่อาหารชั้นล่างสุดสมบูรณ์มีผลต่อเนื่องในการสร้างความสมบูรณ์ให้กลับมาสู่ท้องทะเล -การปลูกต้นไม้ โตไม่ทันการตัดทำลายจากฝีมือมนุษย์ -กว่าต้นไม้จะโตใช้เวลาสิบปีขึ้นไป -ดังนั้นจึงต้อง -หยุดการใช้ก๊าซเรือนกระจก -ลดใช้พลังงานสกปรก -เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด -ช่วยกันปลูกต้นไม้ทุกคน -ออกกฏหมายผู้ทำผิดเกี่ยวกับป่าไม้ให้รุนแรงเฉียบขาด -ใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มโอโซน -ใช้สาหร่ายโปรยลงสู่มหาสมุทรโดยเป็นโครงการของคนทั้งโลกร่วมกันทำ ปัญหาโลกร้อนยังมีความหวังครับ ผมยังคิดเสมออยู่ว่า "ถ้าร่างกายของผมต้องแหลกสลายกลายเป็นสาหร่ายโปรยปรายลงสู่ท้องมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ มาช่วยสร้างโอโซนปริมาณมหาศาลจนปิดรอยโหว่ของชั้นบรรยากาศได้ทั้งหมด เพื่อช่วยสรรพชีวิตทั้งหมดบนโลกนี้ได้ ผมก็ยินดีตาย แทนทุกๆคนครับ"