บทความให้กำลังใจ(ของดีไม่มียี่ห้อ)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    หัวโขน
    ภาวัน

    ตอนที่เขาตัดสินใจออกนิตยสารฉบับใหม่ วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ หาใช่มือใหม่ในวงการหนังสือไม่ เขามีชื่อเสียงมาก่อนแล้วจากการเป็นบรรณาธิการนิตยสารชั้นนำเช่น Trendy Man และ IMAGE แต่นั่นมิใช่หนังสือในฝันของเขา เขาอยากมีอิสระทำนิตยสารอย่างที่ใจรัก โดยไม่อยู่ในอาณัติของนายทุน เขากับเพื่อนจึงลงขันทำนิตยสารที่ตั้งใจว่าไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

    เขาสร้างนิตยสาร a day โดยเริ่มต้นจากศูนย์ เขาจึงต้องนับหนึ่งในทุกเรื่อง รวมทั้งออกไปขายโฆษณาด้วยตนเอง เขามั่นใจว่านิตยสารของเขาจะได้รับความสนใจจากวงการโฆษณา อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่วัยละอ่อนในวงการ แต่แล้วเขาก็ได้บทเรียนที่สำคัญ

    วันนั้นเขาเข้าไปที่บริษัทเอเจนซี่โฆษณาตามเวลาที่นัดหมาย เมื่อไปถึงแทนที่พนักงานบริษัทจะให้เขาขึ้นไปพบกับผู้วางแผนโฆษณา กลับก็ให้เขานั่งรอที่ห้องล็อบบี้ ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง พนักงานบริษัทก็ลงมาบอกกับเขาอย่างห้วน ๆ ว่าวันนี้เจ้านายไม่ว่าง ขอเลื่อนนัดไปวันหลัง ทันทีที่ได้ยิน ความรู้สึกในตอนนั้นของเขาคือ “เสียใจ เจ็บ บอบช้ำ...รู้สึกด้อยค่ามากเลย”

    เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธอย่างนั้น เพราะตอนที่เขาเป็นบก.นิตยสารชื่อดังนั้น ใคร ๆ ก็เกรงใจเขา ปีใหม่ก็มีคนเอากระเช้าของขวัญมาให้มากมาย แต่ทันทีที่เขามาเป็นบก.นิตยสารออกใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก เขาก็กลายเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่มีใครให้ความสนใจ เป็นความเจ็บปวดมิใช่น้อยที่เขาพบว่า“ผมแม่งก็แค่ nobody คนหนึ่ง”

    หลังจากความขุ่นเคืองจางคลาย เขาก็ได้คิดว่า ปัญหาอยู่ที่เขาประเมินค่าตัวเองสูงเกินไป การถูกเมินเฉยทำให้เขาเห็นตัวเองอย่างที่เป็นจริง เขาพูดถึงประสบการณ์ครั้งนั้นว่า “มันคือการกลับไปสู่ตัวตนของเราจริง ๆ นั่นคือเราไม่ได้เป็นใครที่สำคัญเลย”

    การเป็นบก.นิตยสารชั้นนำทำให้เขาหลงคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ เพราะใคร ๆ ก็เข้าหา แต่ในที่สุดเขาก็รู้ว่านั่นเป็นเพราะหัวโขนที่เขาสวมต่างหาก ทันทีที่ถอดหัวโขน ผู้คนก็ไม่สนใจเขาอีกต่อไป จนกว่าเขาจะมีหัวโขนใหม่ที่ดูดีไม่น้อยกว่าเดิม

    บนเวที แม้นว่าพระรามหรือทศกัณฐ์ จะมีฤทธานุภาพสร้างความตื่นตะลึงแก่ผู้ชมมากมายเพียงใด ผู้แสดงทุกคนย่อมรู้ดีว่า บทบาทหรือหัวโขนที่ตนสวมใส่ต่างหากที่สะกดผู้คนเอาไว้ หาใช่เป็นเพราะตัวเขาเองไม่ ดังนั้นเมื่อการแสดงสิ้นสุด ได้เวลาถอดหัวโขน ผู้เล่นทุกคนย่อมพร้อมที่จะกลับคืนสู่ความเป็นคนธรรมดาที่กลืนหายไปกับฝูงชน

    แต่ในชีวิตจริงคนจำนวนไม่น้อยหาได้ตระหนักไม่ว่า เป็นเพราะหัวโขนที่ตนสวมใส่ อันได้แก่ ตำแหน่งหน้าที่ หรือยศถาบรรดาศักดิ์ จึงทำให้ผู้คนยำเกรง ดังนั้นเมื่อพ้นตำแหน่งหรือไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ จึงทำใจไม่ได้เมื่อพบว่าไม่มีใครให้ความสนใจกับตนอีกต่อไป

    ผู้ว่าราชการจังหวัดใหญ่ผู้หนึ่ง เมื่อเกษียณจากราชการ กลับมาเป็นประชาชนเต็มขั้น รู้สึกอาลัยวันคืนเก่า ๆ ที่เคยมีอำนาจวาสนา เขามีชีวิตอย่างหงอยเหงานานนับปี จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้รับเชิญให้ไปร่วมงานในจังหวัดที่ตนเคยพ่อเมือง เขาดีใจมากและเฝ้ารอวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ แต่เมื่อไปร่วมงาน ปรากฏว่าบริษัทบริวารที่เคยห้อมล้อมเขา กลับไปแห่แหนผู้ว่าคนใหม่ แม้แต่คหบดีในจังหวัดที่เคยพินอบพิเทาเขา ก็ไม่สนใจเขาอีกต่อไป เขารู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง นับแต่วันนั้นเขาก็เศร้าซึมหนักขึ้น ไม่กี่ปีหลังจากนั้นเขาก็เสียชีวิต

    ผู้มีปัญญาย่อมไม่เพลิดเพลินหลงใหลในคำแซ่ซร้องสรรเสริญของผู้คน เพราะเขารู้ดีว่านั่นเป็นเพราะบทบาทหรือหัวโขนที่เขาสวมใส่มากกว่าอะไรอื่น ไม่ช้าก็เร็วบทบาทหรือหัวโขนนั้นก็ต้องปลาสนาการไป ถึงตอนนั้นใครที่หลงใหลเพลิดเพลินย่อมอยู่เป็นทุกข์สถานเดียว

    ตำแหน่งหน้าที่หรือยศถาบรรดาศักดิ์อันสูงส่ง ให้ความสุขแก่เราก็จริง แต่มันก็สามารถสร้างความทุกข์ให้แก่เราได้ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อเรายึดติดหวงแหนมัน เช่นเดียวกับหัวโขน มันเป็นสิ่งสมมติและเป็นของชั่วคราว ยิ่งยึดติดถือมั่นในมัน เราก็ยิ่งเป็นทุกข์เมื่อต้องสูญเสียมันไป

    เมื่อใดที่พอใจในความเป็นตัวเราโดยไม่แคร์หัวโขนใด ๆ เมื่อนั้นจึงจะเป็นสุขอย่างแท้จริง
    :- https://visalo.org/article/Image255401.htm
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    เพียงคำว่า “แค่”
    ภาวัน
    ชายผู้หนึ่งมาหาหมอด้วยอาการอ่อนเพลียต่อเนื่องมานานหลายเดือน รูปร่างผอมซีดเพราะน้ำหนักตัวลดลงอย่างฮวบฮาบ หมอซักถามอาการได้สักพักก็สั่งเจาะเลือด

    เมื่อผลตรวจเลือดมาถึง หมอก็แจ้งแก่คนไข้ว่า เขาเป็นเบาหวาน
    ทันทีที่รู้ผล เขายิ้มหน้าบานจนเกือบจะลิงโลดด้วยซ้ำ หมอแปลกใจจึงถามเขาว่า

    “ทำไมลุงถึงดีใจล่ะครับ เป็นเบาหวานต้องกินยาตลอดชีวิตนะครับ”
    “ทีแรกผมนึกว่าจะเป็นเอดส์ แต่พอรู้ว่าเป็นแค่เบาหวาน ก็เลยดีใจมาก”

    เบาหวานเป็นโรคร้าย ใครเป็นก็ถือว่าโชคร้าย แต่ชายผู้นี้กลับดีใจที่เป็นเพราะเขาคิดว่าจะต้องเจอหนักกว่านั้น สุขหรือทุกข์จึงไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเจออะไร แต่ขึ้นอยู่กับความคาดหวังของเรา ได้รางวัลเป็นเงินแสนแต่คาดหวังเงินล้าน ก็ย่อมเป็นทุกข์ ในทางตรงข้ามแม้เป็นเบาหวานแต่ใจคาดว่าจะเป็นเอดส์ ก็กลับทำให้ยิ้มได้

    โรคร้ายกลายเป็นเบาเมื่อเทียบกับโรคที่ร้ายกว่า เด็กหญิงผู้หนึ่งเป็นมะเร็งสมอง ผมร่วงทั้งศีรษะเพราะผ่านการฉายแสง แต่เธอมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จนคนมาเยี่ยมแปลกใจ คุยกันได้สักพักเธอก็บอกว่า เธอโชคดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็งปากมดลูก ญาติของเธอคนหนึ่งเป็นมะเร็งชนิดนั้น เจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก เธอจึงรู้สึกว่าโชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง

    คนเราจะสุขหรือทุกข์อยู่ที่มุมมองเป็นสำคัญ มุมมอง(รวมทั้งความคาดหวัง)เป็นตัวสำคัญที่บ่งชี้หรือตีค่าว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น ดีหรือร้าย เบาหรือหนัก น้อยหรือมาก เมื่อปีที่แล้วหลังการล้อมปราบผู้ชุมนุมเสื้อแดง มีการเผาศูนย์การค้าหลายแห่ง ร้านสุกี้ชื่อดังพลอยฟ้าพลอยฝน ถูกเผาไป ๔ สาขา เสียหายหลายสิบล้านบาท ผู้จัดการสาขาและพนักงานทั้งเสียใจและโกรธแค้น ตรงข้ามกับซีอีโอซึ่งมีหุ้นใหญ่ในกิจการดังกล่าวกลับไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับข่าวคราวดังกล่าว ซ้ำยังปลอบใจลูกน้องว่า "ไม่เป็นไรเรายังมีอีกตั้ง ๓๒๐ สาขา"

    ซีอีโอผู้นี้ยิ้มได้กับเหตุการณ์ดังกล่าวเพราะมองว่า ร้านของเขาถูกเผาไปแค่ ๔ สาขาเท่านั้น นี้ก็ทำนองเดียวกับเด็กหญิงวัย ๑๔ ที่มองว่าตัวเองเป็นแค่มะเร็งสมอง หรือลุงที่ดีใจเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นแค่เบาหวาน แม้เจอเรื่องร้ายแต่ทั้งสามคนไม่เป็นทุกข์เพราะมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นยังเบาอยู่ เขารับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมีคำว่า "แค่" ติดมาด้วย

    เพียงคำว่า "แค่"คำเดียวก็ทำให้ปัญหาต่าง ๆ ดูเบาลงไปและบรรเทาความทุกข์ของเราไปได้เยอะ แต่บ่อยครั้งเรามักลืมคำ ๆ นี้ไปในยามที่ประสบเหตุร้ายหรือสิ่งที่ไม่สมหวัง แต่กลับนึกถึงคำ ๆ นี้เวลาประสบโชคหรือได้รับสิ่งที่น่าพอใจ เช่น "เขาชมฉันแค่นี้เอง" "ฉันได้โบนัสแค่ ๔ แสนเท่านั้น" "ฉันได้เป็นแค่ผู้จัดการฝ่าย" ผลที่ตามมาคือความทุกข์เกาะกินใจ

    ชายผู้หนึ่งได้ทราบว่ามิตรอาวุโสขายหุ้นได้กำไร ๑๐ ล้านบาทเมื่อ ๒-๓ วันก่อน เขาจึงแสดงความยินดีกับเธอด้วย แต่คุณป้าผู้นั้นกลับตอบว่า "ยินดีอะไรกันล่ะ ถ้าฉันขายหุ้นวันนี้ ฉันก็ได้กำไรแล้ว ๒๐ ล้าน" วันรุ่งขึ้นคุณป้าผู้นี้ไม่มาตลาดหุ้นเหมือนเคย ชายผู้นี้จึงไปสอบถามโบรคเกอร์ซึ่งคุ้นเคยกับเธอ ก็ได้ความว่าเธอเข้าโรงพยาบาลไปแล้วเมื่อเช้า สาเหตุก็เพราะเธอเครียดมาก

    คุณป้าเครียดก็เพราะเป็นทุกข์ที่ได้กำไร "แค่" ๑๐ ล้านบาทเท่านั้น จะว่าไปเงินก้อนนี้มิใช่จำนวนน้อย ๆ พอ ๆ กับถูกลอตเตอรี่รางวัลที ๑ โชคลาภอย่างนี้ใครได้ไปก็น่าจะมีความสุข แต่พอมองไม่ถูก วางใจไม่เป็น เห็นว่ามันเป็น "แค่" ๑๐ ล้านบาทเท่านั้น ก็เป็นทุกข์ทันที

    คำว่า "แค่" คำนี้มีอิทธิพลต่อจิตใจของเรามาก มันสามารถสร้างทุกข์หรือปัดเป่าความกลัดกลุ้มไปจากจิตใจของเราได้ อยู่ที่ว่าเราจะใช้มันอย่างไร หากใช้ให้เป็น เราก็สามารถรับมือกับเหตุร้ายได้โดยใจไม่ทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นการพลัดพรากสูญเสียของรัก หรือประสบกับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์

    เมื่อเจอเหตุร้ายคราวหน้า อย่าลืมนึกถึงคำนี้ เพียงเติมคำว่า "แค่" ไว้ข้างหน้าเหตุร้ายเหล่านั้น เรื่องร้ายก็จะกลายเป็นเบาไปได้ในความรู้สึกของเรา
    :- https://visalo.org/article/Image255408.htm
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    ของดีไม่มียี่ห้อ
    ภาวัน
    เช้าวันหนึ่ง “ชอุ่มศรี”กับ “หนวดน้อย” มาเยี่ยม ทั้งคู่เพิ่งกลับมาจากมาเลเซีย แถมหิ้วของมาฝากด้วย เป็นกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลมีล้อลาก รูปทรงเรียบ ๆ ธรรมดา แต่ชอุ่มศรีภาคภูมิใจมากที่นำของชิ้นนี้มาฝากเพื่อน เพราะเป็นกระเป๋าที่ใช้งานได้ดีมาก ด้านหน้ามีหลายชั้น เหมาะสำหรับใส่โน้ตบุ๊คและเอกสาร ด้านในใส่เสื้อผ้าและของจิปาถะได้มากมาย ส่วนซิปก็รูดได้ลื่นมาก เช่นเดียวกับล้อลากที่แค่ออกแรงเบา ๆ ก็เคลื่อนตัวอย่างรื่นเรียบและเงียบกริบ นอกจากนั้นวัสดุที่ใช้ยังทนมากด้วย

    ชอุ่มศรีบอกว่ากว่าจะซื้อกระเป๋าใบนี้ได้ต้องเข้าแถวยาวทีเดียว แต่นั่นยังไม่แปลกเท่ากับที่เธอบอกว่า กระเป๋าใบนี้ไม่มียี่ห้อ สำรวจดูก็เป็นอย่างที่เธอว่าจริง ๆ หาเท่าไรก็ไม่เจอโลโก้ เครื่องหมายการค้า หรือตัวอักษรที่บ่งบอกยี่ห้อ อดพิศวงไม่ได้ว่าสินค้าไม่มียี่ห้ออย่างนี้ขายดีได้อย่างไร
    แล้วหนวดน้อยก็เสริมว่ากระเป๋าใบนี้ซื้อมาจากร้าน “มูจิ” ซึ่งย่อมาจากข้อความว่า “มูจิรูชิ เรียวฮิน” แปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า “ของดีไม่มียี่ห้อ” เขายังบอกอีกว่าตอนนี้สินค้าจากร้านนี้ขายดีมาก เป็นที่นิยมไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่กระเป๋าเท่านั้น แต่รวมถึงของใช้จิปาถะ

    สินค้าไม่มียี่ห้อ ไม่เคยเห็นโฆษณาหรือแม้แต่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามอย่างนี้น่ะหรือ ที่ขายดีไปทั่วโลก เราอดคิดในใจไม่ได้ แต่เมื่อค้นข้อมูลผ่าน google ก็พบว่า ปัจจุบันมูจิมียอดขายปีหนึ่งหลายพันล้านบาท นอกจากเชนสโตร์ในญี่ปุ่นเกือบ ๓๐๐ แห่งแล้ว ยังมีสาขาในอีก ๑๖ ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย มูจิเป็นกิจการที่เติบโตเร็วมาก ปัจจุบันผลิตสินค้าถึง ๗,๐๐๐ ชนิด

    ในยุคที่ผู้คนทั่วโลกคลั่งไคล้สินค้าแบรนด์เนม มูจิเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมาก ตั้งแต่ถือกำเนิด
    เมื่อปี ๒๕๒๓ ผู้ก่อตั้งมีปณิธานแน่วแน่ว่าสินค้าของตนจะไม่มียี่ห้อหรือโลโก้อย่างเด็ดขาด รวมทั้งไม่มีการทุ่มทุนโฆษณาเหมือนสินค้าอื่น ๆ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะต้องการทวนกระแสบริโภคนิยมที่กระตุ้นให้คนเสพทุกอย่างไม่เว้นแม้กระทั่งยี่ห้อหรือภาพลักษณ์ เมื่อไม่ต้องเสียเงินมหาศาลไปกับการโฆษณา ก็ทำให้สินค้ามีราคาถูกลง อันเป็นความตั้งใจอีกประการหนึ่งของผู้ก่อตั้ง
    จุดเด่นอีกอย่างของมูจิ คือการใช้แพ็คเก็จอย่างง่าย ๆ นอกจากเพื่อประหยัดต้นทุนแล้ว ยังเพื่อช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย สำนึกดังกล่าวยังถ่ายทอดลงไปในกระบวนการผลิตและการจัดจำหน่ายด้วย

    รูปทรงของสินค้าจากมูจินั้นเรียบง่ายมาก จนบางคนมองว่าเชย แต่นี้คือหัวใจของมูจิก็ว่าได้ เพราะมูจิต้องการเน้นคุณภาพมากกว่ารูปแบบ ใครที่ใช้ของมูจิย่อมอดไม่ได้ที่จะต้องชมว่าเป็นของดีจริง ๆ อย่างไรก็ตามแม้รูปแบบจะแสนธรรมดา แต่ก็แฝงความงดงามเอาไว้ ไม่ต่างจากภาพเซนที่ตวัดด้วยหมึกดำไม่กี่เส้น แต่ก็สวยงามตรึงใจผู้ดู จะว่าไปแล้วเซนมีอิทธิพลต่อผู้ก่อตั้งมูจิไม่น้อยเลย ดังเขากล่าวว่าการดีไซน์สินค้าของมูจิถือหลักเรียบง่ายแบบเซน

    ทั้ง ๆ ที่ไม่มียี่ห้อหรือโลโก้ แต่สินค้าจากมูจินั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่ามาจากไหน เพราะรูปทรงนั้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จะว่าไปแล้วทั้งรูปแบบและคุณภาพก็บ่งบอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็น“ของดีไม่มียี่ห้อ”

    ถึงไม่มียี่ห้อก็เป็นของดีได้ นี้คือ “สาร”จากมูจิที่เตือนใจผู้คนได้ดีมาก โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนหมกมุ่นหลงใหลในยี่ห้อ จนเข้าใจไปว่ายี่ห้อกับของดีเป็นสิ่งคู่กัน ถึงกับพากันไขว่คว้าหาสินค้ายี่ห้อดัง ๆ มาใช้ หรือไม่ก็มองว่าคนที่ใช้สินค้ายี่ห้อดังต้องเป็นคนเก่งฉลาดหลักแหลม

    จะว่าไปแล้วมิใช่แต่ยี่ห้อสินค้าเท่านั้น เรายังหลงใหลติดยึดยี่ห้อของผู้คนอีกด้วย เจอใครที่มียี่ห้อดี เช่น เป็นผู้จัดการ เป็นด็อกเตอร์ หรือเป็นหมอ ก็สรุปล่วงหน้าแล้วว่าเขาเป็นคนดีมีคุณภาพคับแก้ว แต่ถ้าเจอชาวบ้าน คนกวาดขยะ แม่ค้า ก็มักมองว่าเขาเป็นคนไม่น่าคบหา หรือไม่ฉลาด

    มูจิยังบอกอีกว่า ของดีไม่มียี่ห้อก็ยังขายดีได้ รูปแบบภายนอกนั้นไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพภายใน แทนที่จะมัวเติมแต่งรูปลักษณ์ ไม่ดีกว่าหรือหากจะมาใส่ใจกับคุณภาพไม่ว่าของสินค้าหรือตัวคน
    หากจุดมุ่งหมายของยี่ห้อคือการประกาศตัวตน มูจิก็เป็นตัวอย่างดีที่ชี้ว่าการประกาศตัวตนที่ดีที่สุดนั้น มิใช่ด้วยถ้อยคำ แต่ด้วยคุณภาพภายใน ถ้าเป็นของดีจริง ๆ คนอื่นย่อมรู้วันยังค่ำ

    ของดีไม่ต้องพึ่งยี่ห้อหรือโฆษณาฉันใด คนดีคนเก่งก็ไม่จำต้องโอ้อวดโฆษณาตัวเองฉันนั้น
    :- https://visalo.org/article/Image255304.htm


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2025 at 23:47

แชร์หน้านี้

Loading...