พรรษาที่ ๑๐ หลวงปู่ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ภูกิ่ว อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่ที่ภูกิ่ว หลวงปู่ได้รับความลำบากและขัดสนในเรื่องของอาหารมาก แต่การภาวนาขณะที่อยู่ที่นี่ หลวงปู่ได้ปัญญาธรรมให้พิจารณาถึงความทุกข์ที่ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสารนี้มากมาย และมีอยู่คืนหนึ่งขณะกำลังภาวนาอยู่ พญานาค ๓ ตัวมากราบนมัสการและสนทนาธรรมกับหลวงปู่ตลอดคืน หลวงปู่ได้บอกถึงลักษณะของพญานาคที่ได้เห็นไว้ว่า มีลักษณะคล้ายงูจงอาง แต่มีขนาดตัวยาวและใหญ่มาก ประมาณต้นมะพร้าว มีเกล็ดคล้ายแก้วสีฟ้าใส มีสีสวยงามมาก ในพรรษานั้น มีโยมจากบ้านโพนไคและบ้านจาร อำเภอบ้านม่วง ได้ตามไปนิมนต์ให้กลับมาวัดป่าดงหวาย ดังนั้นเมื่อออกพรรษาแล้วจึงกลับมาที่วัดป่าดงหวาย พรรษาที่ ๑๑ จนถึงปัจจุบัน การก่อสร้างศาลาของวัดป่าดงหวายยังไม่สำเร็จ เมื่อหลวงปู่กลับมาที่วัดป่าดงหวายในครั้งนี้ หลวงปู่ได้ดำเนินการก่อสร้างศาลาต่อจนแล้วเสร็จ และสร้างกุฏิเพิ่มขึ้นอีกหลายหลัง แต่การปฏิบัติภาวนาของหลวงปู่ก็ไม่ได้ย่อหย่อนลงเลย การภาวนาของหลวงปู่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีนิมิตที่สำคัญๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น แผ่นดินยุบเป็นเหวลึกรอบตัวจนหลวงปู่ตกไปในเหวลึก แต่ก็มีตาข่ายมารองรับตัวหลวงปู่ บางครั้งมีพายุฝน พายุลูกเห็บกระหน่ำพัดใส่ตัวหลวงปู่ บ้างก็เป็นท่อนไม้ตกใส่ตัวหลวงปู่หลายท่อน บ้างก็เป็นลมพายุหมุนพัดมาแต่หลวงปู่ก็ฝืนไม่ยอมปลิวไปตามลม ในแต่ละครั้ง หลวงปู่คิดอย่างเดียวว่า “ตายเป็นตาย” แต่เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ ทุกอย่างก็เป็นปกติเหมือนเดิม และมีเทวดาบ้าง รุกขเทพบ้าง หรือพวกภูมิต่างๆ บ้าง บางทีก็เป็นพวกพญานาค มากราบนมัสการขอฟังธรรมจากหลวงปู่อยู่ตลอด บางคืนถึงกับไม่ได้พักผ่อนเลย หลวงปู่เล่าว่าพวกพญานาคจะมากันเยอะมาก มาในลักษณะของคนธรรมดา เมื่อถามไปว่า “มาจากไหน” พวกพญานาคก็ตอบว่า “มาจากเมืองบาดาล ขึ้นมาจากสระน้ำที่อยู่ภายในวัดป่าดงหวายนี้เอง”
ตลอดเวลาที่ออกธุดงค์หรือพำนักจำพรรษาในที่ต่างๆ แต่ละปี แต่ละพรรษา หลวงปู่จะระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์คือ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี อยู่เสมอ และไปกราบนมัสการเยี่ยมเยียนท่านอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งในพรรษาที่ ๑๑ หลวงปู่เทสก์ได้บอกกับหลวงปู่ว่า “อายุมากแล้วให้หาวัดอยู่ประจำได้แล้ว ที่วัดป่าดงหวายนั่นแหละ เหมาะดีแล้ว” หลวงปู่รับคำจากหลวงปู่เทสก์ แต่เมื่อออกพรรษาในแต่ละปี หลวงปู่จะไปหลบปลีกวิเวกปฏิบัติภาวนาอยู่ที่ภูเกิ้ง บ้านท่าส้มป่อย อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร อยู่บ่อยๆ เพราะเป็นสถานที่สัปปายะเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการภาวนาของหลวงปู่อีกที่หนึ่ง การภาวนาของหลวงปู่ได้ปัญญาธรรมที่สำคัญที่สุดที่ภูเกิ้งนี่เอง เหตุเกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติภาวนาตามปกติ ในคืนหนึ่งได้มีแสงสว่าง ๔ ดวงลอยมาจากฟ้าแล้วลอยเข้ามาใกล้ๆ หลวงปู่ ปรากฏว่าเป็นพระ ๔ รูป แล้วก็เข้ามาจะกราบหลวงปู่ หลวงปู่ห้ามไว้ แล้วถามถึงพรรษาของพระทั้ง ๔ รูปนั้น พระ ๑ ใน ๔ รูปนั้นกล่าวว่า “พรรษาไม่เกี่ยว ธรรมะไม่ได้อยู่ที่พรรษา ธรรมะอยู่กับการปฏิบัติที่จริงจัง” จึงได้กราบหลวงปู่ แล้วก็เริ่มสนทนากับหลวงปู่ พระ ๔ รูป : “ท่านมาทำไมที่นี่ มาทำอะไรหรือ” หลวงปู่ : “มาปฏิบัติหาธรรมะตามแนวทางของพระพุทธเจ้า” พระ ๔ รูป : “ท่านอาจารย์มาหาธรรมะ แล้วใครเป็นผู้สอนธรรมะละ ? แล้วศาลาการเปรียญธรรมอยู่ที่ไหน ? ที่เห็นกันอยู่ทุกวันเป็นเสนาสนังเท่านั้นนะ ไม่ใช่ศาลาการเปรียญธรรมที่แท้จริงนะ” หลวงปู่ : “ไม่รู้หรอก” พระ ๔ รูป : “ให้หาคำตอบเอานะ แล้วจะกลับมาใหม่วันนี้ขอลาไปก่อน” แล้วหายตัวจากไป หลวงปู่พยายามคิดหาคำตอบอยู่หลายวัน จนกระทั่งได้สวดมนต์บทธรรมจักรกัปปะวัตตะนะสูตร เมื่อสวดไปๆ เกิดปัญญารู้ถึงคำตอบที่พระ ๔ รูปได้ฝากเอาไว้ จากเนื้อหาของบทสวดนั่นเอง ในหลายคืนต่อมาพระเหล่านั้นกลับมาอีกครั่ง แต่คราวนี้มากัน ๓ รูปเท่านั้น แล้วจึงทวงถามถึงปัญหาที่ฝากไว้ หลวงปู่ : “ผู้ที่จะสอนธรรมะและศาลาการเปรียญธรรมนั้น อยู่ที่ตัวของเรา อยู่ที่ใจของเรา ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่น หรือแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตาม เพราะท่านเพียงแค่ชี้แนะและให้คำสั่งสอน เพื่อเป็นแนวทางให้เราได้ปฏิบัติตามอย่างถูกทางเท่านั้น อยู่ที่ตัวเรานี่แหละ ที่จิตใจของเรานี่ที่ต้องมาวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสารอันนี้ล่ะ” พระ ๓ รูป : “ถูกแล้ว อาจารย์เก่งมาก ขอให้อาจารย์ศึกษาอยู่ตรงนี้ และไม่ช้าไม่นานต้องจบแน่” เมื่อกล่าวจบก็หายตัวจากไป