.....อืม...ไม่มีใครซะทีสงสัยพุทธภูมิเยอะจริงๆซะด้วย(ล้อเล่น) ผมคนหนึ่งล่ะครับที่ลาพุทธภูมิ เพราะมันไม่อยากทุกข์ เมื่อรู้ว่าเกิดมาแล้วต้องทุกข์ก็เลยหาวิธีที่ทำให้ไม่ต้องเกิดอีกครับ
รู้ว่าทุกข์ แต่เพื่อ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ เพื่อน คนรัก ผู้มีพระคุณ สัตว์เลี้ยง และเหล่าสรรพสัตว์เหล่าบุคคลที่น่าสงสารทั้งหลาย จำต้องอดทนเสียสละต่อไป คิดดูดีๆนะครับถ้าจะลา ถ้าไม่มีใครให้ต้องห่วงแล้วก็เชิญครับ
การลาพุทธภูมิ ก็คือการละซึ่งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตครับ แต่กำลังใจที่ลาต้องเห็นโทษภัยแห่งสังขาร และการการเวียนว่ายตายเกิด เสียก่อนนะครับ ไม่ใช่นึกจะลาก็ลาได้เลย เมื่อลาแล้วก็ต้องทำหน้าที่ต่อไปครับเพียงแต่จุดหมายปลายทางเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง ผู้ที่ลาพุทธภูมิแล้ว ยิ่งบำเพ็ญมามากก็ยิ่งเหนื่อยมากครับ ต้องเหนื่อยช่วยเหลือผู้ที่เคยติดตามกันมา เรียกว่าชาติสุดท้ายต้องเจอกันแทบทุกรสชาดชีวิตล่ะครับ ดูอย่างหลวงปู่มั่น หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ สิครับ ว่าท่านต้องทำงานของพุทธภูมิกันอย่างไร ขนาดท่านละสังขารไปแล้วยังต้องมาช่วยเหลือลูกหลานของท่านเลยครับ ยุคนี้ต้องการทั้งผู้ปรารถนาพุทธภูมิและผู้ลาพุทธภูมิครับ แล้วแต่ท่านทั้งหลายจะเลือกเอาเอง ผมเองก็ยังมีหน้าที่พุทธภูมิอยู่บ้างนิดหน่อย ถึงได้มาเสนอหน้าตอบอยู่นี่ไงครับ เหตุผลจริงๆที่ผมลาพุทธภูมิมีมากกว่าที่ตอบไว้ครับ มันเกี่ยวข้องกับเรื่องในชาติก่อนๆและเป็นสัจจะบางประการที่มีชีวิตเป็นเดิมพันของกระผมเองแหล่ะครับ แต่ไม่รู้จะเล่าไปทำไม เพราะยังไงก็ลาพุทธภูมิไปแล้วล่ะครับ
ไม่ลาครับ มีแต่อธิษฐานให้หนักแน่นในเป้าหมายแห่งพระโพธิญาณยิ่ง ๆ ขึ้นไป ผมพร้อมที่จะเดินทางไกลและกำลังเดินอยู่ครับ เหล่าพุทธภูมิทั้งหลาย ท่านไม่ได้เดินคนเดียว มีพวกเราอีกเยอะครับที่มีปณิธาณเดียวกันและกำลังเดินทางกันอย่างไม่ย่อท้อ ขออนุโทมนาและเป็นกำลังใจให้เหล่าพุทธภูมิทุกคนครับ
ภพหน้าภูมิหน้าจะเป็นไง ใครจะลาหรือไม่ลา ผมไม่รู้ เพียงรู้ว่าตอนนี้ผมได้มาเกิดในดินแดนที่เป็นพุทธและก็ได้นับถือศาสนาพุทธ ทำหน้าที่ศาสนิกชนของให้ดีอยู่เสมอผมก็พอใจแล้วครับ โชคดีทุกคนครับ
ไม่ทราบว่าตัวเองควรลาหรือไม่ เพราะความจริงดิฉันก็เบื่อหน่ายชีวิต ความรู้สึกเกิดขึ้นลึกๆ ตั้งแต่ยังเด็ก อยากลาเหมือนกัน แต่มีช่วงหนึ่งที่นั่งสมาธิแล้ว ทำไมอยู่ดีๆ มันเหมือนมีภาพว่าตัวเองเป็นกายในกายของบุคคล ที่น่าเคารพ สิ่งที่พบไม่แน่ใจว่าบุคคลผู้นั้นคือพระพุทธองค์หรือเป็นแค่พระโพธิสัตว์กันแน่ แต่ดิฉันเอนเอียงมาทางพระโพธิสัตว์ดีกว่า เพราะไม่กล้าอาจเอื้อม แต่ความรู้สึกในตอนนั้นคิดว่าบุคคลนั้นน่าจะเป็นพระพุทธิเจ้าค่ะ ทีนี้มีกระทู้ข้างบนท่านหนึ่งบอกว่าขอลา เพราะทราบว่าอดีตชาติของตัวเขาเองเคยตั้งจิตไว้เช่นนั้นไปแล้ว พอดีดิฉันไม่ทราบว่าดิฉันได้เคยตั้งจิตในอดีตชาติไว้ว่าอย่างไร ทั้งนี้ก็อยากทราบเหมือนกัน เพราะความรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตตั้งแต่เด็ก หากมีใครมีบารมีที่สามารถดูให้ได้ รบกวนตรวจสอบให้หน่อยก็จะเป็นพระคุณค่ะ
ไม่เคยรู้ว่าตัวเองปรารถนาพุทธภูมิหรือเปล่า เพราะคิดว่าอาจเอื้อมสูงส่งเกินไปสำหรับวิญญาณเล็กๆ อย่างเรา แต่ตั้งแต่เข้าเว็บไซต์นี้ก็เพิ่งรู้จักคำว่าว่า พุทธภูมิ พอรู้ความหมายว่า ช่วยสรรพสัตว์พ้นทุกข์ ใจก็นึกผูกพันธ์ เพราะในใจตั้งใจมาตลอดว่าอยากช่วยเหลือใครๆ แต่ความเบื่อหน่ายในการเกิด และกลัวบาปการเวียนว่าย ก็มีมาตลอด เอาเป็นว่าไม่ได้ประกาศว่าเป็น (เพราะไม่รู้) แต่ก็ไม่ลาไปไหน แต่คิดว่าจุดมุ่งหมายเราคือ นิพพาน และช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ก็แล้วกัน
แหม..ใจตรงกันเลยครับ(ความคิด) แต่ว่ามีคนทักแล้วถึงสามคน ก็ยังไม่ทราบเหมือนกันว่า เราเคยปรารถนาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน จริง-เท็จอย่างไร ก็ต้องพยายามทำให้รู้ด้วยตัวเองให้ได้ แล้วทำอย่างไรล่ะ นี่คือปัญหา... แล้วคำว่า whitenaka = พญานาคสีขาว(แก้วใส) มีที่มาอย่างไรหรือครับ
naka มาจากด้วยความที่ตัวเองชอบมังกรและก็พยานาคเอามากๆ ตั้งแต่เด็กๆ (แบบไม่มีเหตุผล) เวลาที่คิดจะชื่ออะไรดีก็เลยใช้ชื่อนี้ เติม white เข้าไป เพราะรู้สึกถึงความสงบสว่างจากกิเลส ประมาณนี้หล่ะ
การเบื่อหน่ายในชีวิต เป็นญาณลักษณะหนึ่ง เมื่อฝึกจิตไปอีกระดับ จะถึงนิพพิทาญาณ คือ ญาณเบื่อโลก และจะทิ้งทุกอย่างเพื่อแสวงหาธรรม นี่คืออาการที่ได้ใกล้ถึงพระนิพพาน การศึกษาและปฏิบัติตามหลักพุทธนั้น เราเน้น ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะบำเพ็ญเพียรเพื่อไปต่อสู่พุทธภูมิหรือไม่ ความบริสุทธิ์แห่งจิต เป็นหลักแก่นแท้ที่สำคัญของพุทธ พระโพธิสัตว์บารมีเต็มสามสิบทัศ เวลาจะเอาชีวิตถวายพระพุทธเจ้านั้น จิตจะละซึ่งความอยากใดๆ ในโลกอีก เรียกว่า "กิเลสนิพพาน" ไปหมดแล้ว และไม่หลง เพราะมีสติปัญญารู้ตลอดว่าฆ่าตัวตายทำไม ไม่ใช่ฆ่าเพราะทุกข์ หรือหนีโลก จิตตอนตายนั้น เป็นจิตปรารถนาพุทธภูมิ เพราะตั้งมั่นต่อพระพุทธ ดังนี้ ขณะตาย จึงไม่ได้ ดับขันธปรินิพพาน ทว่า ตอนที่ยอมตายนั้น มันเห็นัดแม้นกระทั่งว่า สุดท้ายชีวิตคืออนิจจัง ไม่ได้มีอะไรควรยึด ควรอยาก อีก ดังนี้ จึงฆ่าตัวตายถวายพุทธบูชาได้ง่ายดายนัก จิตนั้น กิเลสนิพพานแล้ว ไม่แปลก ไม่ผิด ไม่พิสดารอะไร ที่คนจะหมดความอยากใดๆ ในโลก เกิดภาวะกิเลสนิพพาน แล้วบำเพ็ญเพียรไปต่อ เพราะพระโพธิสัตว์ก็เป็นเช่นนั้น ธรรมดา...
จะไปยากอะไรล่ะครับ ก็ลองถามใจตัวเองนี่แหละ (ไม่ต้องไปถามคนอื่น) ว่า สงสารตัวเองมากกว่าสงสารคนอื่น หรือ สงสารคนอื่นมากกว่าตัวเราเอง
ลาพุทธภูมิ นี่คือการถอนคำปรารถนาพุทธภูมิหรือเปล่าครับ ....................................................................................... สำหรับตัวผม ไม่ทราบจะปรารถนาหรือลา แต่จะบำเพ็ญบารมีช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้ถึงที่สุดครับ